แด่ชีวิตอันราบเรียบ


 
ผมชื่อแมค ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง  บ้านผมเป็นโรงพิมพ์ ลูกชายคนเดียวอย่างผมก็ต้องรับช่วงกิจการต่อ

บางคนพอเรียนจบก็อาจจะออกเที่ยวตามความฝันของตัวเองสักพัก หรือพ่อแม่บางคน
อาจจะอยากให้ลูกได้ลองไปทำงานที่อื่นก่อนที่จะกลับมาทำงานของครอบครัว 
แต่ที่บ้านผมทุกคนเข้าใจที่ผมจะเริ่มงานที่บ้านเลย
ผมปรับปรุงหน้าร้านตึกแถวให้ทันสมัย ติดแอร์ ขายหนังสือและกาแฟเพิ่ม ไม่ใช่สำหรับลูกค้า
แต่สำหรับตัวผมเอง ที่จะได้ไม่ต้องออกไปไหน ชีวิตราบเรียบของผมดำเนินไปทุกวัน..
ทุกวัน อย่างมีความสุข ผมแทบไม่ได้ออกไปจากประตูร้านเลย 
ส่วนงานโรงพิมพ์ด้านหลัง ก็มีพี่ทด คนเก่าคนแก่ที่ช่วยดูแล
สั่งของ เช็คเครื่อง ผมยกให้แกเป็นมือขวาคนสำคัญ ขาดแกไปสักคน ชีวิตผมต้องลำบากแน่ๆ
 
     แล้ววันนึง เธอก็โผล่เข้ามาในร้าน เธอสั่งกาแฟและเดินดูหนังสือไปทั่งร้านระหว่างรอกาแฟ 

"เอาเล่มนี้ค่ะ คิดเงินรวมกันเลยนะคะ"
     Lunar Lunatic เธอคือดวงจันทร์ฉันสิคนบ้า คือหนังสือที่เธอเลือก
 
สองวันถัดมาเธอคนเดิมก็โผล่มาที่ร้านผมอีกครั้ง เธอสั่งกาแฟและเดินเลือกหนังสืออีกเหมือนเดิม
"เอาเล่มนี้ค่ะ คิดเงินรวมกันเลยนะคะ"
     อย่าล้อเล่นกับความรู้สึก(Sense) คือหนังสือที่เธอเลือกคราวนี้
 
อืม..เล่มหนากว่าเล่มก่อนหน้านี้นิดนึง แต่ก็เป็นเรื่องสั้นที่เขย่าอารมณ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
แต่เล่มหลังดูจะซาดิสกว่า เธอเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันนะ
 
สามวันถัดมา เธอก็โผล่มาที่ร้านอีกครั้ง ครั้งนี้เธอไม่ได้สั่งกาแฟ แต่เดินดูหนังสืออย่างตั้งใจ
     เพลงรักนิวตริโน เล่มสีแดงสดถูกวางลงที่เคาน์เตอร์คิดเงิน
"เอาเล่มนี้ค่ะ"
"สองเล่มที่แล้ว สนุกมั้ยครับ" ผมอดที่จะเอ่ยปากถามเธอไม่ได้จริงๆ
เพราะรสนิยมการเลือกอ่านหนังสือของเธอ มันออกจะคล้ายๆกับผมอยู่สักหน่อย
"สนุกมาก......" เธอลากเสียงยาว
"ตื่นเต้นทุกหน้า ว่าแต่ พี่อ่านหนังสือในร้านหมดทุกเล่มรึยังอ่ะ" เธอถามผมกลับ
"ก็เกือบหมดแล้วมั้ง" ผมตอบ
 
ก็จะไม่ให้หมดได้ยังไง ผมไม่ชอบออกไปไหน เพราะอย่างนี้ทุกอย่างในร้าน 
ก็ผ่านตาผ่านมือผมมาหมดแล้ว
 
"ถ้าครั้งหน้าเนยมา พี่ให้ส่วนลดหนังสือด้วยนะ"
ผมพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง
     หลังจากบทสนทนาในวันนั้น เนยกลายมาเป็นลูกค้าประจำร้าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี
เราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพาเธอไปเจอพ่อกับแม่และพี่ทด แต่เธอคงประหลาดใจในความสัมพันธ์
ที่ผมสร้างขึ้นอยู่สักหน่อย เพราะเราจะเจอกันแต่ที่ร้านของผมเท่านั้น และผมมักจะบ่ายเบี่ยง
เวลาเธอชวนออกข้างนอกเสมอ
 
     แต่แล้วก็มีเหตุที่ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธการออกข้างนอกได้อีก
"พี่ทด เสียแล้วนะลูก" แม่ผมเดินมาบอกด้วยเสียงเครือ
"ตอนนี้พ่อไปติดต่อที่วัดอยู่ เย็นนี้เนยก็ไปฟังสวดด้วยกันนะลูก"
ผมนิ่งคิดอยู่นาน จนเนยต้องสะกิดเรียก
"พี่จะไปงานศพพี่ทดเย็นนี้ด้วยกันใช่มั้ย" เนยถามเพราะคงเห็นท่าทีลังเลใจของผม
ผมพยักหน้ารับ แต่ในใจยังคิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่
     พ่อแม่ ผมและเนย จัดแจงงานศพให้พี่ทดอย่างดี แกไม่มีญาติที่ไหน
และนี่เป็นรอบหลายปีที่ผมออกมาข้างนอก และมาที่วัด 
พ่อกับแม่เดิมมาถามผมเป็นระยะๆ "โอเคใช่มั้ยลูก" เนยเองคงรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
แขกเริ่มทยอยมากันแล้ว พระท่านจะเริ่มสวดตอนหนึ่งทุ่มพอดี
ผมเริ่มกระสับกระส่าย และเดินหนีออกมาจากศาลา
เนยที่สังเกตเห็นเลยเดินตามผมมาติดๆ "พี่แมค เกิดอะไรขึ้น" เธอถาม
แต่ทันทีที่เธอเห็นหน้าผมที่ซีดเผือกที่น่าจะเป็นคำตอบให้เธอได้หมดแล้ว 
เนยได้แต่ปลอบและจับมือผมไว้แน่น
จะให้ผมบอกเธอได้ยังไงว่าผมเห็น.....พี่ทดยืนยิ้มให้อยู่ในงาน
และแม้แต่ตอนที่แกใกล้จะเสียไปนอนอยู่โรงพยาบาล  ผมก็ยังเห็นแกเดินเข้าออกบ้านเราอยู่ทุกวัน
และไม่ใช่แค่นั้น ในวัดนี้ก็มีอะไรแปลกๆที่ผมเห็นอยู่คนเดียวเต็มไปหมด
 
"พี่แมค ตั้งสติ มองหน้าเนย เนยรู้ว่าพี่เห็นอะไร แต่เราจะผ่านมันไปด้วยกัน"
ฉันพูดปลอบ แต่ใจก็นึกกลัวอยู่ไม่น้อย
ตลอดสามวันของการตั้งสวดอภิธรรมงานของพี่ทด ฉันคอยอยู่เป็นกำลังใจข้างๆพี่แมคเสมอ
ฉันเดาว่าสิ่งที่พี่แมคเห็นอยู่คนเดียวนั้น คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เค้าบ่ายเบี่ยงที่จะออกนอกร้านมาโดยตลอด
หลังจากงานศพผ่านไป ฉันยังไปเจอพี่แมคที่ร้านทุกวันด้วยความเป็นห่วง
     "ขอบคุณเนยมากนะ ที่อยู่เป็นเพื่อนพี่มาตลอด"
ฉันอมยิ้มและก็อดไม่ได้ที่จะลองชวนเค้าออกไปข้างนอกดูอีกสักครั้ง
     "เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นออกไปกินข้าวกับเนยแทนได้มั้ย"
ฉันไม่ได้คาดหวังกับคำตอบ เพราะรู้ว่าน่าจะยาก แต่ครั้งนี้ เค้าพยักหน้า เป็นสัญญาณแทนคำตอบ ตกลง
ฉันชวนเค้ามาเยาวราช เพราะที่นี่ของกินเยอะ คนก็เยอะมากๆด้วย หลังจากกินข้าวเสร็จ
 
เราเดินจูงมือกันข้ามถนน เพื่อไปซื้อของอีกฝากถนน
คนเดินเบียดกันไปมาจนมือเราหลุดออกจากกัน แต่ฉันก็เดินตามหลังพี่แมคอยู่ห่างๆในซอบแคบๆ
คนเดินไหลไปตามทาง สวนกันในซอยแคบๆนั้น สองข้างทางมีของแห้ง เครื่องยาจีนขายอยู่ตลอดแนว
แต่ด้านหน้าฉัน ฉันมองไม่เห็นพี่แมคอีกแล้ว
ความรู้สึกอุ่นที่มือก่อนที่จะข้ามถนนมาก็ค่อยๆจางหายไป
ฉันเดินมาถึงป้ายรถเมล์ นั่งลงเพื่อรอรถกลับบ้าน ซึ่งนานๆจะมาสักที
ฉันเปิดกระเป๋าดู และโชคดีจริง วันนี้ฉันพกหนังสือ "ผีหลอก" ของสรจักรมาด้วย
เอาไว้อ่านฆ่าเวลา ก็รถในกรุงเทพฯมันติดจะตาย
 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คิดถึงพี่มั้ย?

Love is all around.

สายลม.. ซ่อนใจ..