ณ ฝนปีที่38

 

Literally and/or metaphorically
     ออกตัวลอยเหนือดราม่าใดๆก่อนว่าที่เขียนต่อไปนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว คนคิดต่างก็มีเยอะ แต่ถ้ามาถามฉันด้วยหัวข้อนี้เราก็จะบอกเหตุผลตามนี้

     ฝนปีที่38นี้ เรามาถกเถียงกันดีกว่า ในยุคปัจจุบันที่คนแต่งงานกันช้าขึ้น มีลูกช้า หรือบางคู่อาจจะไม่มีเลย สำหรับคุณที่อ่านมาเจอคำถามนี้ คุณเคยคิดมั้ยว่าถ้าได้แต่งงานจะมีลูกมั้ย?

     ระหว่างที่คุณคิดอยู่......ฉันขอเล่าความคิดเห็นของฉันสักหน่อย
     หนึ่งในหัวข้อที่เรามักจะถามเพื่อนหรือเพื่อนมักจะถามฉันหรือเรามักจะโดนถามจากญาติผู้ใหญ่ คนรู้จักใดๆก็คงหนีไม่พ้นคำถามสุดจะคลาสสิก
       มีแฟนรึยัง? จะแต่งงานเมื่อไหร่? เมื่อไหร่จะมีลูก?

     ส่วนตัวพออยู่มาเกินครึ่งชีวิตโดยปราศจากคู่ บวกกับความโชคดีที่พ่อแม่ฉันไม่ได้ยึดติดกับประโยคที่ว่า "แก่ไปจะได้มีคนเลี้ยง"

มันทำให้เรามองว่าการอยู่คนเดียวก็สบายใจดี เหงาก็ออกไปหาอะไรทำ แต่ไม่ว่าจะอยู่เดี่ยวหรือ
อยู่เป็นครอบครัวก็ต้อง "วางแผน" การใช้ชีวิต ใช้เงินไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ  
เราอยู่ในสังคมที่เงินเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดคุณภาพชีวิต การดิ้นรนให้มีเหมือนคนอื่นเป็นเหมือนดาบสองคม การประมาณตนในจุดๆนึงน่าจะเป็นเรื่องดีเสียกว่า
     แต่เหนือสิ่งใดฉันก็ยังสนับสนุนให้มี "ลูก"เมื่อพร้อมที่จะเผชิญกับเรื่องต่างๆที่มันจะถาโถมเข้าใส่คุณแบบที่ตั้งตัวและไม่ได้ตั้งตัว
     เรื่องหนึ่งที่สะเทือนจิตใจฉันเป็นอย่างมากคือการที่ยายที่เป็นน้องสาวของยายแท้ๆของฉัน ต้องทยอยเสียลูกชาย ซึ่งก็คือลุงของฉันทั้งสองคน และสามีของแกไปทีล่ะคน ถึงตอนนี้แกจะมีหลานดูแล แต่ใครจะคิดว่าเราจะต้องมาวางดอกไม้จันทร์หน้าศพลูกชายตัวเองที่ล่ะคน ซึ่งมันขัดกับสิ่งที่เราๆเคยถูกฝังหัวมาตลอดว่า
"แต่งงาน มีลูกจะได้มีคนดูแลมีคนทำศพให้เรา"...

ถ้าการสูญเสียคนที่เรารักไปเป็นเรื่องที่ทำให้คนๆนึงเสียใจได้ถึงที่สุดแล้ว 
กรณีแบบนี้ยังจะมีเศษส่วนใดของจิตใจเหลือให้แก่ความเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ได้อีก
     
     การต้องเกิดมาผูกพันธ์กับใครสักคนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ในทางพุทธมันคือการสร้างเวร
สร้างกรรม...เด็ก..ไม่ได้เป็นคนเลือกมาเกิด เหมือนการเอาบ่วงมาแขวนคอ บ่วงที่เราจะไม่อาจตัดออกจากตัวเราได้เลยเมื่อเค้าลืมตาดูโลก
     อ่ะ!!กลับมาในส่วนของทางโลก ในชีวิตฉันเจอคนอยู่ สองประเภท
     ประเภทแรก มุ่งมั่นตั้งใจ มีแฟน,แต่งงาน และจะมีลูก
ซึ่งก็ต้องบอกว่ายอมรับนับถือในจิตใจของเค้าเหล่านั้น 
ที่พร้อมจะเหนื่อยเพิ่มขึ้น
พร้อมจะสละเวลาของตัวเอง
พร้อมจะเผชิญและรับมือกับปัญหาล้านแปด
ที่ "โลกเส็งเคร็ง" ใบนี้เตรียมหยิบยื่นให้กับเด็กคนหนึ่ง ไม่ว่าเค้าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม
และขอเป็นกำลังใจให้คนที่อยากจะมีแต่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที
กี่เข็มฮอร์โมนเร่งไข่ตกที่คุณต้องฉีดเข้าท้องตัวเอง
น้ำตากี่หยดที่ต้องเสียไป เมื่อที่ตรวจครรภ์ขึ้นขีดเดียว
กี่ครั้งที่ต้องมีปากเสียงทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้  
กี่ครั้งที่โทษตัวเองและจะถอดใจ แต่ต้องรู้สึกเหมือนเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย...
กอดตัวเอง กอดคนข้างๆตัวให้แน่นๆ ผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน วางแผนใหม่ให้กับชีวิตที่เหลือ 
ไม่ว่าสมาชิกในบ้านจะมีกี่คนมันก็เป็นครอบครัวได้เหมือนกัน

     วันนี้มีกันพ่อแม่ลูก วันข้างหน้าก็อาจจะเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ตามยุคสมัยที่เราไม่จำเป็นต้องทนอยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ปัจจุบันเด็กรับรู้ และส่วนใหญ่ยอมรับได้แล้วว่าพ่อแม่แยกทาง
แยกบ้านกันอยู่ ใจความสำคัญคือ ทั้งสองคนยังคงทำหน้าที่ของพ่อและแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องต่างหาก ไม่ใช่สาดโคลนกันต่อหน้าลูก หรือทำเหมือนในละครที่ยุแยงให้ลูกเกลียดอีกฝ่าย
แบบไม่นึกย้อนถึงตอนยังรักกันเลย

     "หรือการลาจากตลอดกาล ในเวลาอันไม่สมควรอาจจะเกิดขึ้นกับเราก็เป็นไปได้"

    ประเภทที่สอง คนที่ไม่อยากมีลูก ซึ่งประเภทนี้หายาก
เหตุผลหลักที่ไม่อยากมีเพราะไม่รักเด็ก
ไม่มีเวลา ไม่พร้อม ไม่มีคนเลี้ยง
ไม่อยากสละเวลาส่วนตัว เหล่านี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

     ส่วนเหตุผลที่พักหลังๆได้ยินและตรงกับความเห็นส่วนตัวของฉันก็คือ 
"โลกสมัยนี้มันอยู่ยาก" โรคระบาดเอย อาชญกรรมเอย ความเลื่อมล้ำในสังคม 
มัน"เส็งเคร็ง"ชนิดที่แค่เราใช้ชีวิตของตัวเองยังเหนื่อยมากๆเลย 
ไหนจะด้วยอายุ ปัจจัยความเครียด มลภาวะที่มีความเสี่ยงต่อความสมบูรณ์ของเด็กอีก

คุณรู้ใช่มั้ยค่ะ? ว่าภาวะออทิสติกตรวจไม่เจอขณะตั้งครรภ์

ฉันเคยได้ยินคำถามว่า
"แล้วสมบัติเราจะเอาให้ใครใช้ถ้าไม่มีลูก?"
งั้นขอถามกลับ ว่าคุณแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่อยู่ใช้สมบัติตัวเองจนหมด? เงินทองและทรัพย์สินของคุณอาจจะหมดก่อนคุณจะตายก็ได้ หาเองใช้เองไม่เหลือให้ใคร


"แล้วถ้าเราแก่ เราป่วย เราจะตายใครจะดูแล?"

กลับไปที่บอกไว้ด้านบน วางแผนให้เป็นภาระคนอื่นให้น้อยที่สุด รักษาสุขภาพให้ยังเดินคล่อง
ในวัยเกษียณ ให้พาตัวเองไปหาหมอคนเดียวได้

     ลูกที่พาพ่อแม่ไปหาหมอตามนัดในวันธรรมดาได้ 
คือลูกที่ว่างหรือลูกที่ทำกิจการของตัวเองค่ะ
ทุกวันนี้พ่อแม่เราก็ไปหาหมอตามนัดด้วยตัวเอง โดยลูกก็ออกไปทำงานของตัวเองกันตามปกติค่ะ
     
     ฉันว่าคนเมื่อใกล้ตายยอมเจ็บปวดทรมานเป็นเรื่องธรรมดา หากมีคนมาเจอคุณนอนตายในบ้าน ยามนั้นคงมีแต่คนอื่นที่รู้สึกเวทนา แต่คุณซึ่งจิตแตกดับไปแล้วคงไม่มีการรับรู้ถึงเวทนาใดๆอีก
"คนตายคือภาระของคนเป็น"
หากทำบุญมาดีมาก ก็คงไปแบบหลับไปอย่างไม่ทรมาน แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครล่วงรู้หรือกำหนดอนาคตตัวเองได้หรอก สิ่งที่เราทำได้แน่ๆคือ"วางแผน" เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ 

เราน่าจะพอได้ยินเรื่องการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับ"ความตาย"กันมาอยู่บ้าง
ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย ฝึกจิตให้เคยชินและพร้อมเพื่อรับมือกับเรื่องแบบนี้
     หากคนในชีวิตเราค่อยๆจากไปที่ล่ะคน เราจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?
     หากเราเป็นคนที่ต้องจากไปก่อน มีเงินทำศพตัวเองพอแล้วหรือยัง?
บางทีชีวิตก็ไม่ได้เป็นของเราทั้งหมดสะทีเดียว ไอ้ประโยคที่ว่า"ชีวิตเราใช้ซะ"
ก็ยังต้องมีวงเล็บ หรือข้อจำกัดให้กับมันอยู่ดี
   
     อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ท้ายที่สุดไม่มีใครสนใจหรอกค่ะว่าคำตอบของคุณจะเป็นข้อไหน 
ไม่มีถูก ไม่มีผิด มีแต่คนที่ต้องยอมรับผลของการตัดสินใจของตัวเองก็เท่านั้น

     ฝนปีนี้สอนให้ฉันรู้ว่า จงฟังให้เยอะขึ้นกว่าเดิม พูดกับคนที่พร้อมฟัง
อย่าตัดสินคนอื่นเพียงเพราะเค้าคิดต่างจากเรา ต้นทุนชีวิตแต่ล่ะคนไม่เท่ากัน 
แต่ค่าความเป็นคนของเราทุกคนเท่าเทียมกัน หัดที่จะไม่ใส่ใจกับบางคน 
กับบางเรื่องที่มันเป็นพิษกับความรู้สึกเราบ้าง

     ตัวเราเองปลี่ยนแปลงทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี แต่ขอให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น 
ทั้งกับตัวเองและคนอื่นๆ ก็คงพอให้โลกน่าอยู่ขึ้นบ้าง





    

    

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คิดถึงพี่มั้ย?

Love is all around.

สายลม.. ซ่อนใจ..